top of page

ภาษาไทย หรือ ภาษาไทยกลาง เป็นภาษาราชการของประเทศไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไท ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาไท-กะไดสันนิษฐานว่า ภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางส่วนเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน และตระกูลภาษาจีน-ทิเบต

ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกคำต่อคำ

เนื้อหา

ชื่อภาษาและที่มา

 

ส่วนตรงนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาส่วนนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก

คำว่า ไทย หมายความว่า อิสรภาพ เสรีภาพ หรืออีกความหมายหนึ่งคือ ใหญ่ ยิ่งใหญ่ เพราะการจะเป็นอิสระได้จะต้องมีกำลังที่มากกว่า แข็งแกร่งกว่า เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก คำนี้เป็นคำไทยแท้ที่เกิดจากการสร้างคำที่เรียก "การลากคำเข้าวัด" ซึ่งเป็นการลากความวิธีหนึ่ง ตามหลักคติชนวิทยา คนไทยเป็นชนชาติที่นับถือกันว่า ภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่บันทึกพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคล เมื่อคนไทยต้องการตั้งชื่อประเทศว่า ไท ซึ่งเป็นคำไทยแท้ จึงเติมตัว ย เข้าไปข้างท้าย เพื่อให้มีลักษณะคล้ายคำในภาษาบาลี – สันสกฤตเพื่อความเป็นมงคลตามความเชื่อของตน ภาษาไทยจึงหมายถึงภาษาของชนชาติไทยผู้เป็นไทนั่นเอง

ประวัติ

พ่อขุนรามคำแหงได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พ. ศ. 1826 มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดแปลงมาจากบาลี-สันสกฤต มอญ และ เขมร[ต้องการอ้างอิง]

สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

ดูบทความหลักที่: ภาษาไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการปฏิรูปภาษาไทยโดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2485 มีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย การเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ที่สังเกตได้มีดังนี้

  • ตัดพยัญชนะ             แล้วใช้   ค        ส  ตามลำดับแทน

  • พยัญชนะ ญ ถูกตัดเชิงออกกลายเป็น 

  • พยัญชนะสะกดของคำที่ไม่ได้มีรากมาจากคำบาลี-สันสกฤต เปลี่ยนเป็นพยัญชนะสะกดตามแม่โดยตรง เช่น อาจ เปลี่ยนเป็น อาด, สมควร เปลี่ยนเป็น สมควน

  • เปลี่ยน อย เป็น หย เช่น อยาก ก็เปลี่ยนเป็น หยาก

  • เลิกใช้คำควบไม่แท้ เช่น จริง ก็เขียนเป็น จิง, ทรง ก็เขียนเป็น ซง

  • ร หัน ที่มิได้ออกเสียง /อัน/ ส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นสระอะตามด้วยตัวสะกด เช่น อุปสรรค เปลี่ยนเป็น อุปสัค, ธรรม เปลี่ยนเป็น ธัม

  • เลิกใช้สระใอไม้ม้วน เปลี่ยนเป็นสระไอไม้มลายทั้งหมด

  • เลิกใช้ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เปลี่ยนไปใช้การสะกดตามเสียง เช่น พฤกษ์ ก็เปลี่ยนเป็น พรึกส์, ทฤษฎี ก็เปลี่ยนเป็น ทริสดี

  • ใช้เครื่องหมายวรรคตอนอย่างภาษาต่างประเทศ เช่นมหัพภาคเมื่อจบประโยค จุลภาคเมื่อจบประโยคย่อยหรือวลี อัฒภาคเชื่อมประโยค และจะไม่เว้นวรรคถ้ายังไม่จบประโยคโดยไม่จำเป็น

หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลุดจากอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ รัฐนิยมก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย อักขรวิธีภาษาไทยได้กลับไปใช้แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง [2]

 

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

สัทวิทยา

ภาษาไทยประกอบด้วยหน่วยเสียงสำคัญ 3 ประเภท[3] คือ

  1. หน่วยเสียงพยัญชนะ

  2. หน่วยเสียงสระ

  3. หน่วยเสียงวรรณยุกต์

พยัญชนะ

พยัญชนะต้น

ภาษาไทยแบ่งแยกรูปแบบเสียงพยัญชนะก้องและพ่นลม ในส่วนของเสียงกักและเสียงผสมเสียงแทรก เป็นสามประเภทดังนี้

  • เสียงไม่ก้อง ไม่พ่นลม

  • เสียงไม่ก้อง พ่นลม

  • เสียงก้อง ไม่พ่นลม

หากเทียบกับภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปมีเสียงแบบที่สองกับสามเท่านั้น เสียงแบบที่หนึ่งพบได้เฉพาะเมื่ออยู่หลัง เอส (S) ซึ่งเป็นเสียงแปรของเสียงที่สอง

เสียงพยัญชนะต้นโดยรวมแบ่งเป็น 21 เสียง ตารางด้านล่างนี้บรรทัดบนคือสัทอักษรสากล บรรทัดล่างคืออักษรไทยในตำแหน่งพยัญชนะต้น (อักษรหลายตัวที่ปรากฏในช่องให้เสียงเดียวกัน) อักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน

ริมฝีปากทั้งสองปุ่มเหงือกเพดานแข็งเพดานอ่อนเส้นเสียง

เสียงนาสิก[m]

m

[n]
ณ,น

n

[ŋ]

ng

เสียงกักก้อง[b]

b

[d]
ฎ,ด

d

ไม่ก้อง ไม่มีลม[p]

p

[t]
ฏ,ต

t

[tɕ]

ch

[k]

k

[ʔ]
อไม่ก้อง มีลม[pʰ]
ผ,พ,ภ

ph

[tʰ]
ฐ,ฑ,ฒ,ถ,ท,ธ

th

[tɕʰ]
ฉ,ช,ฌ

ch

[kʰ]
ข,ฃ,ค,ฅ,ฆ*khเสียงเสียดแทรก[f]
ฝ,ฟ

f

[s]
ซ,ศ,ษ,ส

s

[h]
ห,ฮ

h

เสียงเปิด[w]

w

[l]
ล,ฬ

l

[j]
ญ,ย

y

เสียงรัวลิ้น[r]

r

 และ  เลิกใช้แล้ว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าภาษาไทยสมัยใหม่มีพยัญชนะเพียง 42 ตัวอักษร

พยัญชนะสะกด

ถึงแม้ว่าพยัญชนะไทยมี 44 รูป 21 เสียงในกรณีของพยัญชนะต้น แต่ในกรณีพยัญชนะสะกดแตกต่างออกไป สำหรับเสียงสะกดมีเพียง 8 เสียง และรวมทั้งไม่มีเสียงด้วย เรียกว่า มาตรา เสียงพยัญชนะก้องเมื่ออยู่ในตำแหน่งตัวสะกด ความก้องจะหายไป

ในบรรดาพยัญชนะไทย นอกจาก  และ  ที่เลิกใช้แล้ว ยังมีพยัญชนะอีก 6 ตัวที่ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้คือ       ดังนั้นตัวสะกดจึงเหลือเพียง 36 ตัวตามตารางอักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน

 ริมฝีปาก
ทั้งสองริมฝีปากล่าง
-ฟันบนปุ่มเหงือกเพดานแข็งเพดานอ่อนเส้นเสียง

เสียงนาสิก [m]

m

  [n]
ญ, ณ, น, ร, ล, ฬ

n

  [ŋ]
ง ng เสียงกัก[p̚]
บ, ป, พ, ฟ, ภ

p

  [t̚]
จ, ช, ซ, ฌ, ฎ, ฏ, ฐ, ฑ, ฒ, ด, ต, ถ, ท, ธ, ศ, ษ, ส

t

  [k̚]
ก, ข, ค, ฆ k [ʔ]
* -เสียงเปิด [w]

o (w)

  [j]

i (y)

 

* เสียงพยัญชนะกัก เส้นเสียง จะปรากฏเฉพาะหลังสระเสียงสั้นเมื่อไม่มีพยัญชนะสะกด

กลุ่มพยัญชนะ

แต่ละพยางค์ในคำหนึ่ง ๆ ของภาษาไทยแยกออกจากกันอย่างชัดเจน (ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่พยัญชนะสะกดอาจกลายเป็นพยัญชนะต้นในพยางค์ถัดไป หรือในทางกลับกัน) ดังนั้นพยัญชนะหลายตัวของพยางค์ที่อยู่ติดกันจะไม่รวมกันเป็นกลุ่มพยัญชนะเลย

ภาษาไทยมีกลุ่มพยัญชนะเพียงไม่กี่กลุ่ม ประมวลคำศัพท์ภาษาไทยดั้งเดิมระบุว่ามีกลุ่มพยัญชนะ (ที่ออกเสียงรวมกันโดยไม่มีสระอะ) เพียง 11 แบบเท่านั้น เรียกว่า พยัญชนะควบกล้ำ หรือ อักษรควบกล้ำ อักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน

ริมฝีปากปุ่มเหงือกเพดานอ่อน

พยัญชนะเดี่ยว/p/
ป p/pʰ/
ผ, พ ph/t/
ต t/k/
ก k/kʰ/
ข, ฃ, ค, ฅ kh

เสียงรัว/r/
ร/pr/
ปร pr/pʰr/
พร phr/tr/
ตร tr/kr/
กร kr/kʰr/
ขร, ฃร, คร khr

เสียงเปิด/l/
ล/pl/
ปล pl/pʰl/
ผล, พล phl/kl/
กล kl/kʰl/
ขล, คล khl

/w/
ว/kw/
กว kw/qu/kʰw/
ขว, ฃว, คว, ฅว khw

พยัญชนะควบกล้ำมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจากคำยืมภาษาต่างประเทศ อาทิ จันทรา จากภาษาสันสกฤต มีเสียง ทร /tʰr/, ฟรี จากภาษาอังกฤษ มีเสียง ฟร /fr/ เป็นต้น เราสามารถสังเกตได้ว่า กลุ่มพยัญชนะเหล่านี้ถูกใช้เป็นพยัญชนะต้นเท่านั้น ซึ่งมีเสียงพยัญชนะตัวที่สองเป็น ร ล หรือ ว และกลุ่มพยัญชนะจะมีเสียงไม่เกินสองเสียงในคราวเดียว การผันวรรณยุกต์ของคำขึ้นอยู่กับไตรยางศ์ของพยัญชนะตัวแรก

สระ

 

วิกิตำรา มีคู่มือ ตำรา หรือวิธีการเกี่ยวกับ:
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/ภาษาไทยเบื้องต้น/สระ

เสียงสระในภาษาไทยแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ สระเดี่ยว สระประสม และสระเกิน สะกดด้วยรูปสระพื้นฐานหนึ่งตัวหรือหลายตัวร่วมกัน (ดูที่ อักษรไทย)

สระเดี่ยว หรือ สระแท้ คือสระที่เกิดจากฐานเพียงฐานเดียว มีทั้งสิ้น 18 เสียง อักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน

 ลิ้นส่วนหน้าลิ้นส่วนหลัง

ปากเหยียดปากเหยียดปากห่อ

สั้นยาวสั้นยาวสั้นยาว

ลิ้นยกสูง/i/
–ิ i/iː/
–ี i/ɯ/
–ึ ue/ɯː/
–ื ue/u/
–ุ u/uː/
–ู u

ลิ้นกึ่งสูง/e/
เ–ะ e/eː/
เ– e/ɤ/
เ–อะ oe/ɤː/
เ–อ oe/o/
โ–ะ o/oː/
โ– o

ลิ้นกึ่งต่ำ/ɛ/
แ–ะ ae/ɛː/
แ– ae  /ɔ/
เ–าะ o/ɔː/
–อ o

ลิ้นลดต่ำ  /a/
–ะ a/aː/
–า a  


สระเดี่ยว
สระประสม

สระประสม คือสระที่เกิดจากสระเดี่ยวสองเสียงมาประสมกัน เกิดการเลื่อนของลิ้นในระดับสูงลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สระเลื่อน" มี 3 เสียงดังนี้

  • เ–ีย /iːa/ ประสมจากสระ อี และ อา ia

  • เ–ือ /ɯːa/ ประสมจากสระ อือ และ อา uea

  • –ัว /uːa/ ประสมจากสระ อู และ อา ua

ในบางตำราจะเพิ่มสระสระประสมเสียงสั้น คือ เ–ียะ เ–ือะ –ัวะ ด้วย แต่ในปัจจุบันสระเหล่านี้ปรากฏเฉพาะคำเลียนเสียงเท่านั้น เช่น เพียะ เปรี๊ยะ ผัวะ เป็นต้น

สระเสียงสั้นสระเสียงยาวสระเกิน

ไม่มีตัวสะกดมีตัวสะกดไม่มีตัวสะกดมีตัวสะกดไม่มีตัวสะกดมีตัวสะกด

–ะ–ั–1, -รร, -รร-–า–า––ำ(ไม่มี)

–ิ–ิ––ี–ี–ใ–(ไม่มี)

–ึ–ึ––ือ–ื–ไ–(ไม่มี)

–ุ–ุ––ู–ู–เ–า(ไม่มี)

เ–ะเ–็–, เ––2เ–เ––ฤ, –ฤฤ–, –ฤ–

แ–ะแ–็–, แ––2แ–แ––ฤๅ, –ฤๅ(ไม่มี)

โ–ะ––โ–โ––ฦ, –ฦฦ–, –ฦ–

เ–าะ–็อ–, -อ-2–อ–อ–, ––3ฦๅ, –ฦๅ(ไม่มี)

–ัวะ–็ว––ัว–ว–

เ–ียะ(ไม่มี)เ–ียเ–ีย–

เ–ือะ(ไม่มี)เ–ือเ–ือ–

เ–อะเ–ิ–4, 
เ––4เ–อเ–ิ–, 
เ––5, 
เ–อ–6

สระเกิน คือสระที่มีเสียงของพยัญชนะปนอยู่ มี 8 เสียงดังนี้

  • –ำ /am, aːm/ am ประสมจาก อะ + ม (อัม) เช่น ขำ บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาม) เช่น น้ำ

  • ใ– /aj, aːj/ ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ใจ บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ใต้

  • ไ– /aj, aːj/ ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ไหม้ บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ไม้

  • เ–า /aw, aːw/ ao ประสมจาก อะ + ว (เอา) เช่น เกา บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาว) เช่น เก้า

  • ฤ /rɯ/ rue, ri, roe ประสมจาก ร + อึ (รึ) เช่น ฤกษ์ บางครั้งเปลี่ยนเป็น /ri/ (ริ) เช่น กฤษณะ หรือ /rɤː/ (เรอ) เช่นฤกษ์

  • ฤๅ /rɯː/ rue ประสมจาก ร + อือ (รือ)

  • ฦ /lɯ/ lue ประสมจาก ล + อึ (ลึ)

  • ฦๅ /lɯː/ lue ประสมจาก ล + อือ (ลือ)

บางตำราก็ว่าสระเกินเป็นพยางค์ ไม่ถูกจัดว่าเป็นสระ

สระบางรูปเมื่อมีพยัญชนะสะกด จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ สามารถสรุปได้ตามตารางด้านขวา

  1. คำที่สะกดด้วย –ั + ว นั้นไม่มี เพราะซ้ำกับ –ัว แต่เปลี่ยนไปใช้ เ–า แทน

  2. สระ เ-ะ แ-ะ เ-าะ ที่มีวรรณยุกต์ ใช้รูปเดียวกับสระ เ– แ- -อ ตามลำดับ เช่น เผ่น เล่น แล่น แว่น ผ่อน กร่อน

  3. คำที่สะกดด้วย –อ + ร จะลดรูปเป็น –ร ไม่มีตัวออ เช่น พร ศร จร ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ โ–ะ ดังนั้นคำที่สะกดด้วย โ–ะ + ร จึงไม่มี

  4. สระ เ–อะ ที่มีตัวสะกดใช้รูปเดียวกับสระ เ–อ[4] เช่น เงิน เปิ่น เห่ย

  5. คำที่สะกดด้วย เ–อ + ย จะลดรูปเป็น เ–ย ไม่มีพินทุ์อิ เช่น เคย เนย เลย ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ เ– อย่างไรก็ตาม คำที่สะกดด้วย เ– + ย จะไม่มีในภาษาไทย

  6. พบได้น้อยคำ เช่น เทอญ เทอม

วรรณยุกต์

เสียงวรรณยุกต์

คำเป็น

เสียงวรรณยุกต์ ในภาษาไทย (เสียงดนตรีหรือเสียงผัน) จำแนกออกได้เป็น 5 เสียง ได้แก่

เสียงวรรณยุกต์ตัวอย่าง

เสียงระดับเสียงอักษรไทยสัทอักษรสากล

หน่วยเสียงเสียง

สามัญกลางนา/nāː/[naː˧]

เอกกึ่งต่ำ-ต่ำ หรือ ต่ำอย่างเดียวหน่า/nàː/[naː˨˩] หรือ [naː˩]

โทสูง-ต่ำน่า/หน้า/nâː/[naː˥˩]

ตรีกึ่งสูง-สูง หรือ สูงอย่างเดียวน้า/náː/[naː˦˥] หรือ [naː˥]

จัตวาต่ำ-กึ่งสูงหนา/nǎː/[naː˩˩˦] หรือ [naː˩˦]

คำตาย

เสียงวรรณยุกต์ในคำตายสามารถมีได้แค่เพียง 3 เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงเอก เสียงโท และ เสียงตรี โดยขึ้นอยู่กับความสั้นความยาวของสระ เสียงเอกสามารถออกเสียงควบคู่กับได้สระสั้นหรือยาว เสียงตรีสามารถออกเสียงควบคู่กับสระสั้น และ เสียงโทสามารถออกเสียงควบคู่กับสระยาว อาทิ

เสียงสระตัวอย่าง

อักษรไทยหน่วยเสียงเสียง

เอกสั้นหมัก/màk/[mak̚˨˩]

ยาวหมาก/màːk/[maːk̚˨˩]

ตรีสั้นมัก/mák/[mak̚˦˥]

โทยาวมาก/mâːk/[maːk̚˥˩]

แต่อย่างใดก็ดี ในคำยืมบางคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ คำตายสามารถมีเสียงตรีควบคู่กับสระยาว และเสียงโทควบคู่กับสระสั้นได้ด้วย อาทิ

เสียงสระตัวอย่าง

อักษรไทยหน่วยเสียงเสียง
อังกฤษ

ตรียาวมาร์ก/máːk/[maːk̚˦˥]Marc, Mark

สตาร์ต/sa.táːt/[sa.taːt̚˦˥]start

บาส (เกตบอล)/báːt (.kêt.bɔ̄n) /[baːt̚˦˥ (.ket̚˥˩.bɔn˧)]basketball

โทสั้นเมคอัพ/méːk.ʔâp/[meːk̚˦˥.ʔap̚˥˩]make-up

รูปวรรณยุกต์

ส่วน รูปวรรณยุกต์ มี 4 รูป ได้แก่

รูปวรรณยุกต์ชื่อ

ไทยสัทอักษร

-่ไม้เอก/máːj.ʔèːk/

-้ไม้โท/máːj.tʰōː/

-๊ไม้ตรี/máːj.trīː/

-๋ไม้จัตวา/máːj.t͡ɕàt.ta.wāː/

การเขียนเสียงวรรณยุกต์

ทั้งนี้คำที่มีรูปวรรณยุกต์เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีระดับเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ขึ้นอยู่กับระดับเสียงของอักษรนำด้วย เช่น ข้า (ไม้โท) ออกเสียงโทเหมือน ค่า (ไม้เอก) เป็นต้น

รูปวรรณยุกต์

ไม่เขียน-่-้-๊-๋

อักษรสูงเสียงจัตวาเสียงเอกเสียงโท--

ตัวอย่างขาข่าข้า--

กลางเสียงสามัญเสียงเอกเสียงโทเสียงตรีเสียงจัตวา

ตัวอย่างปาป่าป้าป๊าป๋า

ต่ำเสียงสามัญเสียงโทเสียงตรี--

ตัวอย่างคาค่าค้า--

ไวยากรณ์

ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด คำในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปไม่ว่าจะอยู่ในกาล (tense) การก (case) มาลา (mood) หรือวาจก (voice) ใดก็ตาม คำในภาษาไทยไม่มีลิงก์ (gender) ไม่มีพจน์ (number) ไม่มีวิภัตติปัจจัย แม้คำที่รับมาจากภาษาผันคำ (ภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย) เป็นต้นว่าภาษาบาลีสันสกฤต เมื่อนำมาใช้ในภาษาไทย ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป คำในภาษาไทยหลายคำไม่สามารถกำหนดหน้าที่ของคำตายตัวลงไปได้ ต้องอาศัยบริบทเข้าช่วยในการพิจารณา เมื่อต้องการจะผูกประโยค ก็นำเอาคำแต่ละคำมาเรียงติดต่อกันเข้า ภาษาไทยมีโครงสร้างแตกกิ่งไปทางขวา คำคุณศัพท์จะวางไว้หลังคำนาม ลักษณะทางวากยสัมพันธ์โดยรวมแล้วจะเป็นแบบ 'ประธาน-กริยา-กรรม'

วากยสัมพันธ์

ลักษณะทางวากยสัมพันธ์หรือการเรียงลำดับคำในประโยคโดยรวมแล้วจะเรียงเป็น 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO) อย่างใดก็ดี ในบางกรณีเช่นในกรณีที่มีการเน้นความหมายของกรรม (topicalization) สามารถเรียงประโยคเป็น กรรม-ประธาน-กริยา ได้ด้วย แต่ต้องใช้คำชี้เฉพาะเติมหลังคำกรรมคำนั้น อาทิ

กรณีลำดับคำตัวอย่าง

ธรรมดา
(unmarked)ประธาน-กริยา-กรรมวัวกินหญ้าแล้ว

เน้นกรรม
(object topicalization)กรรม-ประธาน-กริยาหญ้านี้ วัวกินแล้ว 
หรือ 
หญ้าเนียะ วัวกินแล้ว

สำเนียงย่อย

 

บทความนี้หรือส่วนนี้ อาจเป็นงานค้นคว้าต้นฉบับ คุณสามารถช่วยพัฒนาวิกิพีเดีย โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงที่เหมาะสมเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ดูรายละเอียดในหน้าอภิปราย

สำเนียงถิ่นในภาษาไทย สามารถแบ่งได้ดังนี้

กลุ่มภาษาถิ่นพื้นที่ที่ใช้เป็นภาษาหลัก

ภาษาไทยที่ราบภาคกลางสามารถจำแนกได้อีกเป็นภาคกลางตะวันออกคือ: จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจังหวัดนครนายกจังหวัดนครสวรรค์จังหวัดลพบุรีจังหวัดสมุทรปราการจังหวัดสมุทรสงครามจังหวัดสมุทรสาครจังหวัดสระบุรีจังหวัดสระแก้วจังหวัดจันทบุรีจังหวัดปราจีนบุรี, พื้นที่ส่วนใหญ่ในจังหวัดตราด, พื้นที่เกือบทั้งหมดในจังหวัดฉะเชิงเทราจังหวัดนนทบุรีและจังหวัดปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร (ฝั่งธนบุรีและฝั่งมีนบุรี)

สามารถจำแนกได้อีกเป็นภาคกลางตะวันตกคือ: จังหวัดสุพรรณบุรีจังหวัดอ่างทองจังหวัดชัยนาทจังหวัดนครปฐมจังหวัดสิงห์บุรีจังหวัดอุทัยธานี, พื้นที่ส่วนใหญ่ในจังหวัดกาญจนบุรีอำเภออุ้มผางจังหวัดระยอง และ อำเภอสัตหีบ

ภาษาไทยเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร (ฝั่งพระนครริมแม่น้ำเจ้าพระยา), จังหวัดนนทบุรี (บางส่วนของอำเภอเมืองและอำเภอปากเกร็ด), บางส่วนในอำเภอเมืองปทุมธานีอำเภอบางปะกงจังหวัดชลบุรี(ยกเว้นอำเภอสัตหีบ), อำเภอหาดใหญ่, บางส่วนในอำเภอบ้านดอน, บางส่วนในอำเภอนางรอง และตามชุมชนเมืองต่างๆ

ภาษาไทยสุโขทัยจังหวัดสุโขทัยจังหวัดพิษณุโลกจังหวัดพิจิตรจังหวัดกำแพงเพชร และบางส่วนของจังหวัดอุตรดิตถ์

ภาษาไทยตะวันตกเฉียงใต้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ยกเว้นอำเภอทับสะแกอำเภอบางสะพานและอำเภอบางสะพานน้อย), จังหวัดเพชรบุรีจังหวัดราชบุรี

ภาษาไทยโคราช*จังหวัดนครราชสีมา (ยกเว้น อำเภอปักธงชัยอำเภอสูงเนิน และ อำเภอบัวใหญ่), บางส่วนของจังหวัดชัยภูมิ, บางส่วนของจังหวัดเพชรบูรณ์

  • หมายเหตุ บางครั้งภาษาไทยถิ่นนี้อาจถูกจำแนกเป็นอีกภาษา

การยืมคำจากภาษาอื่น

 

ส่วนตรงนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาส่วนนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก

ภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีการยืมคำมาจากภาษาอื่น ๆ ค่อนข้างสูงมาก มีทั้งแบบยืมมาจากภาษาในตระกูลภาษาไท-กะได ด้วยกันเอง และข้ามตระกูลภาษา โดยส่วนมากจะยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตและภาษาเขมร ซึ่งมีทั้งรักษาคำเดิม ออกเสียงใหม่ สะกดใหม่ หรือเปลี่ยนความหมายใหม่ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน

บางครั้งเป็นการยืมมาซ้อนคำ เกิดเป็นคำซ้อน คือ คำย่อยในคำหลัก มีความหมายเดียวกันทั้งสอง เช่น

  • ดั้งจมูก โดยมีคำว่าดั้ง เป็นคำในภาษาไท ส่วนจมูก เป็นคำในภาษาเขมร

  • อิทธิฤทธิ์ มาจาก อิทธิ (iddhi) ในภาษาบาลี ซ้อนกับคำว่า ฤทธิ (ṛddhi) ในภาษาสันสกฤต โดยทั้งสองคำมีความหมายเดียวกัน

คำจำนวนมากในภาษาไทย ไม่ใช้คำในกลุ่มภาษาไท แต่เป็นคำที่ยืมมาจากกลุ่มภาษาสันสกฤต-ปรากฤต โดยมีตัวอย่างดังนี้

รักษารูปเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

  • วชิระ (บาลี: วชิระ [vajira]), วัชระ (สันส: วัชร [vajra])

  • ศัพท์ (สันส: ศัพทะ [śabda]), สัท (เช่น สัทอักษร) (บาลี: สัททะ [sadda])

  • อัคนี และ อัคคี (สันส: อัคนิ [agni] บาลี: อัคคิ [aggi])

  • โลก (โลก) – บาลี-สันส: โลกะ [loka]

  • ญาติ (ยาด) – บาลี: ญาติ (ยา-ติ) [ñāti]

เสียง พ มักแผลงมาจาก ว

  • เพียร (มาจาก พิริยะ และมาจาก วิริยะ อีกทีหนึ่ง) (สันส:วีรยะ [vīrya], บาลี:วิริยะ [viriya])

  • พฤกษา (สันส:วฤกษะ [vṛkṣa])

  • พัสดุ (สันส: [vastu] (วัสตุ); บาลี: [vatthu] (วัตถุ) )

เสียง -อระ เปลี่ยนมาจาก -ะระ

  • หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หะระติ))

เสียง ด มักแผลงมาจาก ต

  • หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หะระติ))

  • เทวดา (บาลี:เทวะตา [devatā])

  • วัสดุ และ วัตถุ (สันส: [vastu] (วัสตุ); บาลี: [vatthu] (วัตถุ))

  • กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: [kapilavastu] (กปิลวัสตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวัตถุ))

เสียง บ มักแผลงมาจาก ป

  • กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: [kapilavastu] (กปิลวัสตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวัตถุ))

  • บุพเพ และ บูรพ (บาลี: [pubba] (ปุพพ))

ภาษาอังกฤษ

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีวิวัฒนาการต่างๆ ทางเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งทำให้มีการใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการบัญญัติศัพท์จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เช่น[5]

  • ประปา จากคำว่า วอเตอสับไปล (water supply)

  • สถานี จากคำว่า สเตชัน (station)

  • รถยนต์ จากคำว่า รถมอเตอร์คาร์ (motorcar)

  • เรือยนต์ จากคำว่า เรือมอเตอร์ (motorboat)

  • ประมวล จากคำว่า โค้ด (code)[6]

ดูเพิ่ม

  • Facebook Social Icon
  • Twitter Social Icon
  • Google+ Social Icon
  • YouTube Social  Icon
  • Pinterest Social Icon
  • Instagram Social Icon

พัฒนาโดย : ชัยวัฒน์ โมกขศักดิ์

bottom of page